บทเรียนอะไรในชีวิตที่คุณจดจำไม่มีวันลืม เป็นบทเรียนล้ำค่า แต่บทเรียนนั้นก็มีราคาที่ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด
ผมใช้เวลา 15 ปี ในการค้นพบ ⚓️ 5 บทเรียนสำคัญต่อไปนี้
ตอนผมเผชิญกับภาวะภูมิคุ้มกันทำลายข้อต่อกระดูกตัวเอง ผมเดินตามคำแนะนำของหมอเฉพาะทางกระดูกและข้อ
ไปตรวจตามนัด ตรวจเลือดเป็นระยะ กินยาตามที่หมอจ่าย ทำกายภาพ
การเชื่อฟังคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเป็นอะไรที่หาข้อสรุปได้ยากในบางความเจ็บป่วยที่ทางการแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่รู้สาเหตุ
⚓️ ~การหวังพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญเป็นความจำเป็น แต่ระดับไหนถึงจะพอดี เป็นบทเรียนแรกที่คิดได้~
ผมเริ่มหันกลับมาใส่ใจรับผิดชอบร่างกายตัวเอง
ทำให้เริ่มเข้าใจว่า การใส่ใจร่างกายตัวเอง ให้เวลาดูแลทำความรู้จักร่างกาย เป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่งเคยได้เรียนรู้
ผมหยุดการไปหาหมอ รักษาตัวเองแบบไม่ใช้ยากดภูมิและยาแก้ปวด
รับฟังความรู้สึก ใส่ใจความเจ็บปวด ใส่ใจความต้องการของร่างกายที่อยู่ภายใน เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง
พอเริ่มทำความรู้จักร่างกาย คุยกับร่างกาย เอาใจใส่ความรู้สึกที่ร่างกายคอยส่งสัญญาณบอก รู้สึกอยู่กับความเจ็บปวดได้ง่ายขึ้น โดยอาศัยศาสตร์ somatic experiencing เป็นทักษะพื้นฐานในการคุยกับร่างกาย
หาความรู้เกี่ยวกับระบบประสาทอัตโนมัติที่ทำงานเสียสมดุล ว่าส่งผลต่อร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างไร
ทำให้เปิดโลกใบใหม่ต่อคำว่า “ระบบประสาทอัตโนมัติซิมพาเทติกและพาราซิมพาเทติก”
เริ่มรู้สึกถึงร่างกายส่วนที่เคยรับรู้ความรู้สึกได้ยาก ค่อยใช้เวลาปัดฝุ่นที่เกาะปุ่มรับรู้ความรู้สึกของตัวเอง
ใส่ใจเมื่อรู้สึกปวดสะโพก เคลื่อนไหว ยืดเหยียดเท่าที่ไหว พูดคุยกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ให้เวลากับประสบการณ์ของความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย
⚓️ อีกบทเรียนที่น่าตื่นเต้น จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองหลายครั้ง คือ ~เมื่อร่างกายผ่อนคลาย รู้สึกปลอดภัย พลังงานความเจ็บปวดที่ตกค้างจะเกิดการไหลเวียนสู่สมดุล~
คอยหมั่นสังเกตลมหายใจว่าติดขัดตรงไหน ตอนไหน โดยไม่ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงลมหายใจขณะติดขัด แค่ให้เวลาและรอให้ร่างกายคลายตัวเอง
ทิ้งนิสัยการทำอะไรเกินขีดจำกัดของร่างกาย
ปรับจูนการรับรู้ความธรรมดาสามัญของสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวว่าทำให้ร่างกายรู้สึกอย่างไร ซึมซับความรู้สึกทั้งดีร้ายที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย
พูดคุยกับตัวเองด้วยประโยคดีๆ ตื่นนอนมารับแสงแดด หายใจให้อิ่มบ่อยๆ ให้ออกซิเจนได้เข้าไปหล่อเลี้ยงทุกอณูของเซลล์
ให้เวลาชมพระอาทิตย์ขึ้นลง มองดวงจันทร์ ดวงดาวที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันไป
หยุด...สัมผัสช่วงเวลาดีๆ บันทึกความทรงจำดีๆในชีวิต ทะนุถนอมร่างกายและจิตใจของตัวเอง ดมกลิ่นหอมของใบไม้ดอกไม้จนเป็นนิสัย
ใช้เวลาใกล้ชิดธรรมชาติ ขุดดิน ทำสวน ดูนก ดูผีเสื้อ ดอกไม้ ดอกหญ้า รับรู้การเปลี่ยนผ่านของฤดูกาลตามเวลาที่จัดสรรได้
⚓️ ~การให้เวลาร่างกายและจิตใจได้ใกล้ชิดธรรมชาติบ้าง เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า~
ลดการกินของทอดและอาหารขยะ ทำอาหารกินเองบ่อยขึ้น
เลือกทำงานร่วมกับคนที่กระตือรือร้น ทำงานด้วยแล้วมีความสุข ความสบายใจ เลือกทำในสิ่งที่ใช่ และรู้สึกกับประสบการณ์ภายในทั้งความสุขและความทุกข์
คอยปรับจูนการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับสิ่งที่ตัวเองให้คุณค่า ลดการทำอะไรที่ฝืนกับใจของตัวเอง
บริหารจัดการความเครียด โดยการปรับเปลี่ยนวิธีคิดต่อความเครียด ว่ามีข้อดีอะไรบ้างที่ตัวเองไม่เคยรู้ และให้เวลากับความรู้สึกที่ตกค้างในร่างกายจากความเครียดสะสมในชีวิตประจำวัน
เวลาเหนื่อย อารมณ์เสีย เสียใจ ให้เวลาตัวเองได้พักเบรค ชาร์จแบตให้ร่างกาย ก่อนพาชีวิตเดินต่อ
การเดินทางที่เกิดขึ้นทำให้ร่างกายค่อยๆ ฟื้นคืนตัว กลับสู่สมดุล ร่างกายค่อยๆ ฟื้นฟูตัวเอง ซ่อมแซมตัวเอง
จากร่างกายที่ไม่ได้เป็นพื้นที่ปลอดภัย เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
เมื่อพูดคุยเอาใจใส่ร่างกาย ร่างกายก็ค่อยๆ กลับคืนสู่บ้านที่อยู่แล้วรู้สึกปลอดภัย เป็นการตอบแทน
รู้สึกถึงอาการตัวตึงไหล่ยก กลั้นหายใจ ในเวลาที่เครียดได้เร็วขึ้น (ในอดีตคงไม่ค่อยรู้ตัว)
รู้สึกอัศจรรย์ใจกับพลังชีวิตของร่างกายที่มีศักยภาพในการเยียวยาตัวเอง
⚓️ บทเรียนต่อมา คือ
~ร่างกายจะคอยนำทาง คอยส่งสัญญาณบอกเราเสมอว่ามาถูกทางไหม ผ่านภาษาของ body sensations~
รู้สึกขอบคุณร่างกายที่ยังมีพลังชีวิตเพียงพอในการฟื้นฟูตัวเอง
ร่างกายเป็นของขวัญอันล้ำค่า เป็นบ้านเพียงหลังเดียวที่รอให้ตัวเราเอาใจใส่
⚓️~หมอที่ดีที่สุดอาจเป็นตัวเราเอง~⚓️
Comments