สมดุลชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกัน ขอเพียงหันมาใส่ใจภายในตัวเอง เพราะชีวิตที่สมดุลเร่ิมจากภายใน
ลองหยุดสักครู่ เพื่อประเมินความสมดุลชีวิตในปัจจุบัน เช่น สุขภาพ-ความสัมพันธ์-งาน-เงิน
ถ้าสมดุลในแต่ละด้านเต็ม 10 อยากชวนให้คะแนนแต่ละด้านก่อนแล้วค่อยอ่านต่อ
###
เพียงซื่อตรงกับใจตัวเอง การรักษาสมดุลก็กลายเป็นเรื่องง่าย
คนที่รู้ใจตัวเอง ก็ไม่ต้องเปลืองแรงทะเลาะกับตัวเอง ความคิด อารมณ์ ร่างกายโฟกัสสอดคล้องกัน การรักษาสมดุลก็ทำได้ง่ายๆ แค่ให้เวลาพักเบรค
มาปรับสมดุลในแต่ละวันกัน ผ่านการตระหนักรู้ว่า “เมื่อไหร่ที่เร่ิมเสียสมดุล”
เพียงแค่รู้ตัว!
แค่นี้ก็รักษาสมดุลได้ง่ายขึ้น
เริ่มจากสังเกตสัญญาณที่ร่างกายส่งออกมา เช่น ปากแห้ง แสบตา ใจสั่น หนักหัว อ่อนเพลีย กล้ามเนื้อหดเกร็ง
ถ้าสังเกตพบ ก็เพียงให้เวลาร่างกายได้พักเบรคสัก 2-3 นาที
ค่อยๆ หลับตา แล้วหายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อให้ร่างกายคืนตัวสู่สมดุล ดื่มน้ำสักแก้ว ลุกขึ้นยืดเหยียดร่างกาย ออกไปเดินสูดอากาศบริสุทธิ์
เริ่มทำความรู้จักร่างกายตัวเอง รู้ว่าสัญญาณต่างๆที่ร่างกายของเราส่งมา
~ร่างกายอยากบอกอะไร~
แต่ถ้าปล่อยปละละเลยร่างกาย ทิ้งให้เสียสมดุลมานาน ระบบต่างๆ ในร่างกายจะเกิดการปรับตัวที่เป็นผลเสียต่อเมแทบอลิซึม (metabolism) กล้ามเนื้อ กระดูก ระบบประสาท ภูมิคุ้มกัน ...
การปรับจูนจะดึงกลับมาได้ยาก เพราะร่างกายและระบบประสาทได้บันทึกการตอบสนองในบางรูปแบบไว้ เช่น เวลาเครียด บางคนปากสั่น บางคนเกิดผื่นลมพิษ บางคนปวดเจ็บตามข้อ บางคนหายใจหอบลึกมือเท้าเกร็ง บางคนรู้สึกไม่ดีพอ
ร่างกายแบกรับภาระการเสียสมดุลต่อเนื่องยาวนาน ทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัว จนทำให้ ความดันโลหิตสูง อ่อนเพลียเรื้อรัง นอนไม่หลับ เบาหวาน ไมเกรน ภูมิแพ้ งูสวัด เกิดพังผืด กระดูกงอก กระดูกสันหลังคด ขาโก่ง เท้าผิดรูป หยุดหายใจตอนนอน
###
การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความเข้าใจร่างกายของตัวเอง แทนการกดข่มหรือแทรกแซงร่างกายด้วยการใช้ยาในระยะยาว
หันมาใส่ใจสมดุลของร่างกายแบบองค์รวม
ในภาวะสมดุล ร่างกายจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เกิดการไหลเวียนไปมาระหว่างพลังกระตือรือร้นและผ่อนคลาย
อย่าปล่อยให้งานกัดกินสุขภาพและครอบครัว รู้จักกำหนดขอบเขตชีวิตแต่ละด้านให้สมดุล
หมั่นรีเซ็ทร่างกาย จิตใจ ความคิดให้สามารถฟื้นฟูตัวเองได้จากประสบการณ์ความเครียด พัฒนาทักษะในการรับฟังสัญญาณความเครียดที่เกิดขึ้นในร่างกาย เพื่อดึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาปรับจูนการใช้ชีวิต
ฝึกทักษะการผ่อนคลายเพื่อช่วยร่างกายปรับสมดุล
รู้จักให้เวลาร่างกายได้พักเบรค พาตัวเองไปยังสภาพแวดล้อมที่ร่างกายจะสามารถฟื้นตัวเองได้ดีขึ้น ปรับเปลี่ยน lifestyle ให้แต่ละด้านในชีวิตเกิดความสมดุล
หลังจากรู้ใจตัวเอง สนิทกับร่างกายของตัวเอง ดูแลเอาใจใส่การใช้ชีวิตของตัวเองอย่างต่อเนื่อง การใช้ชีวิตที่เคยขัดขวางกระบวนการฟื้นฟูตัวเองของร่างกายหมดไป เมื่อถึงเวลา ร่างกายก็กลับคืนสู่สมดุล เช่น กลับมานอนหลับสนิท เกิดไอเดียใหม่ๆในการทำงาน โฟกัสสิ่งที่ให้ความสำคัญได้ต่อเนื่อง หายจากลมพิษ
เมื่อสมดุลชีวิตภายในค่อยๆ เกิดขึ้น ชีวิตภายนอกก็จะค่อยๆ เกิดการปรับเปลี่ยนตามมา
แก่นของการรักษาสมดุล เป็นเหมือนการรักษาความสม่ำเสมอต่อเนื่องในการปรับจูน sense of balance ในเวลาที่เสียสมดุล
สามารถสังเกตความคิดและจิตใจของตัวเอง รับรู้ถึงความสุขสงบและความกระตือรือร้นว่ามีจังหวะสอดประสานสม่ำเสมอลงตัวดีไหม
สังเกตว่าวันนี้รักษาโฟกัสกับปัจจุบันได้เป็นอย่างไร
สังเกตจุดที่พอดีระหว่างการทำงานและขีดจำกัดของร่างกาย รู้จักจุดพักเบรคของตัวเอง
สามารถทบทวนเหตุการณ์กระทบใจ ทบทวนวิธีคิดที่มีต่อตัวเอง เช่น แม้ไม่ได้รับการยอมรับจากคนอื่น ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ฉันก็ยังเป็นคนที่มีคุณค่าในตัวเอง
ตระหนักถึงคุณค่าและยอมรับตัวเองทุกแง่มุมในฐานะมนุษย์ธรรมดา
พัฒนาความสัมพันธ์ของตัวเองกับคนรอบตัว เช่น บางคนโฟกัสการพึ่งพาตัวเองเป็นหลัก จริงจังไปกับทุกเรื่องในชีวิต ชีวิตมีแต่งาน ก็เริ่มปรับจูนชีวิตในแต่ละด้านให้กลับคืนสู่สมดุล หันมาใส่ใจคุณภาพของความสัมพันธ์กับคนรอบตัว โดยเฉพาะคนในครอบครัว หันมารับฟังด้วยใจที่เปิดกว้าง ลดการตัดสิน-ควบคุม
ลงทุนเวลาฝึกสิ่งเล็กๆ ที่จะช่วยปรับเปลี่ยนคุณภาพชีวิตและจิตใจ เช่น ฝึกการหายใจ ฝึกรับรู้ความรู้สึกและให้เวลาอยู่กับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ฝึกการใช้ประสาทสัมผัสดมกลิ่น รับรสเพื่อช่วยปรับอารมณ์
เรียนรู้ร่างกายตัวเองว่า Sensing ไหนที่ช่วยให้อารมณ์คลายตัวและฟื้นคืนพลังให้ร่างกายได้บ้าง?
ปรับจูนการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับ value ของตัวเอง เพราะ value เป็นเหมือนเข็มทิศที่ช่วยบอกทิศทางให้เรารู้ว่าชีวิตอยู่ในทิศทางที่ใช่ เกิดความสอดคล้องเชื่อมโยงไปในทิศทางเดียวกันของความคิด-ความรู้สึก-พฤติกรรม
ก่อนจบอยากชวนให้ลองจินตนาการเห็นภาพ
~ มีคนจำนวนมากในองค์กร สามารถผสมผสานปรับจูนสุขภาพ-ความสัมพันธ์-งาน-เงินในชีวิตได้ลงตัวเพิ่มขึ้น ~
จะเกิดผลกระทบต่อเนื่องในเชิงบวกอย่างไรบ้างต่อที่ทำงานของเรา......
#RebalanceYourBody&Mind
ขอบคุณ cat on a paper ที่ช่วยวาดภาพประกอบบทความ
Comments