ความสามารถในการบริหารจัดการอารมณ์ ดันถูกเรียกว่า “การควบคุมอารมณ์” ทำให้การตีความต่อคำว่า การควบคุมอารมณ์ เป็นไปได้หลากหลาย และเกิดการเข้าใจผิดในการนำไปปรับใช้ในคนจำนวนไม่น้อย
บางคนใช้การกดอารมณ์ หรือ เบี่ยงเบนจากอารมณ์ (Emotional avoidance) ในการบริหารจัดการอารมณ์ ทำให้อารมณ์ตกค้างอยู่ภายในร่างกาย
ถ้าคุณทุ่มเททำงานมาหลายปี เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในบริษัท คาดหวังจะได้เลื่อนตำแหน่ง แต่พอถึงเวลากลับมีคนอื่นได้รับการโปรโมทแทน จากดาวรุ่งกลายเป็นดาวร่วง รู้สึกตัวเอง “หมดคุณค่า” กลายเป็นคนที่หมดพลัง อยากหยุดพัก อยากเกษียณ
อารมณ์ความโกรธ ความเสียใจ ความผิดหวังก่อตัวเป็นเมฆดำทะมึนปกคลุมจิตใจ กลายเป็นคน “ชีวิตอมทุกข์” โดยไม่รู้ตัว ร่างกายห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง รอยยิ้ม ความร่าเริง และเสียงหัวเราะหายไปจากชีวิต
ในทางกลับกันคนที่มีอารมณ์อ่อนไหว ขึ้นสุดลงสุด รู้สึกอ่อนไหวได้ง่าย ก็จะเผชิญกับการจมลงไปในอารมณ์ เกิดการแกว่งตัวไปมาของอารมณ์ในแต่ละวัน เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ รู้สึกตัวเองยังไม่ดีพอบ่อยๆ
2 เคส ที่ยกตัวอย่างมา คือ Reaction ที่เกิดขึ้นของร่างกายและสมอง แต่ละคนจะมี reaction ต่ออารมณ์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับร่างกายจำการตอบสนองแบบไหนฝังไว้ จนกลายเป็นนิสัยเคยชินของร่างกายและจิตใจ
การย่อยอารมณ์ ก็เหมือนการย่อยอาหารในทางเดินอาหาร ถ้าทานอาหารเข้าไปแล้วไม่ย่อย จากสารอาหารที่จะดูดซึมไปเป็นหล่อเลี้ยงร่างกายก็จะกลายเป็นสารพิษแทน
อารมณ์ก็เช่นเดียวกัน ถ้าสามารถย่อยสลายอารมณ์ได้ตามศักยภาพของร่างกาย อารมณ์ก็จะกลายเป็นพลังชีวิตที่ไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งพื้นฐานสำคัญในการย่อยและประมวลอารมณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน คือ สุขภาพร่างกายที่แข็งแรง กินอิ่มนอนหลับ มีพลัง แบตชาร์จเต็ม
Overprocessing ทำให้ไม่ฟีลอารมณ์ที่เกิดขึ้น จึงเกิดปมค้างใจ กลายเป็นอารมณ์ตกค้าง ที่ถูกจุดชนวนได้ง่ายด้วยเรื่องคล้ายๆ เดิม
พอเกิด Emotional overprocessing บ่อยๆจนกลายเป็นนิสัยเคยชิน ทำให้ Sensing ในการฟีลอารมณ์ของร่างกายไม่ได้ใช้งาน เหมือนเกิดสนิมเกาะ เวลามีเหตุการณ์ที่กระตุ้นอารมณ์ ก็จะเกิด “อารมณ์ท่วมท้น หรือ ไม่รู้สึกอะไร” ทำให้ร่างกายแบกรับความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าอารมณ์กำลังก่อตัวเกิดขึ้นในร่างกาย?
ลองสังเกตตัวเอง บางครั้งน้ำเสียงเปลี่ยนกระทันหันขณะคุยกับใครบางคนในครอบครัว บางคนไม่รู้ตัวว่ากลั้นหายใจ บางคนกัดกราม บางคนหัวเราะออกมาขณะที่อีกฝ่ายกำลังโมโห
ช่วงที่อารมณ์ก่อตัวขึ้นในร่างกาย ถ้าไม่สามารถฟีลอารมณ์เหล่านั้นได้ แต่ละคนจะดึงเอากลยุทธ์หลักที่ใช้ในการรับมือกับอารมณ์ที่ไม่ได้ย่อย ไม่ได้ประมวลรับรู้ตามความคุ้นชินโดยอัตโนมัติ เช่น ใช้การบ่น กล่าวโทษ บางคนใช้การพูดจาประชดประชัน บางคนรู้สึกตัวชา รู้สึกเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร บางคนเกิดความคิดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น บางคนทำตัวยุ่ง บางคนตัดสิน-กดดันตัวเอง รู้สึกไม่ดีพอ บางคนเกิดความคาดหวังว่าคนอื่นควรที่จะรู้ว่า “ฉันต้องการอะไร ทำไมต้องให้บอก” บางคนมีพฤติกรรมฉุดรั้งชีวิตตัวเองจากการอยากได้รับการยอมรับจากคนอื่น มีพฤติกรรมใช้เงินเกินตัว กินของไม่มีประโยชน์ ทำงานหนักเกินไป
เราลองมาดูตัวอย่างการหากลยุทธ์มาช่วยให้ร่างกายตั้งหลักได้ ฟื้นให้ร่างกายมีพลังมากพอในการย่อยและประมวลอารมณ์ โดยใช้ประสาทสัมผัสของการรับรู้กลิ่นเป็นเครื่องมือในการปรับสมดุลของอารมณ์ด้วยกัน..........
Essential oil ที่มีคุณภาพ มีฤทธิ์ช่วยปรับสมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติได้ แค่เลือกใช้ให้สอดคล้องกับร่างกายของเราตามคำแนะนำของคนที่ทำงานด้านกลิ่นเพื่อการบำบัด
กลุ่มแรกเป็น Essential oil ที่ช่วยปรับสมดุลให้ร่างกายผ่อนคลาย มีส่วนช่วยให้ระบบประสาทอัตโนมัติพาราซิมพาเทติก (ระบบประสาทผ่อนคลาย) ทำงานได้คล่องตัว เช่น Lavender Chamomile Cedarwood
อีกกลุ่มเป็น Essential oil ที่ช่วยฟื้นพลังในร่างกายให้กลับมาสดชื่น มีชีวิตชีวา ช่วยปรับการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติซิมพาเทติก (ระบบประสาทกระฉับกระเฉง) เช่น Peppermint Rosemary Lemon
การบำบัดด้วยกลิ่นเป็นอีกทางเลือกที่ตอบโจทย์ร่างกายของคนจำนวนไม่น้อย เพียงหาผู้ที่มีประสบการณ์ในการช่วยให้คำแนะนำในการเลือกใช้ชนิดของ Essential oil ระยะเวลา ความถี่ รูปแบบการใช้ การปรุงกลิ่น ให้ตรงกับโจทย์ของร่างกาย
Comments